นายฮิว โยชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) บริษัท ฮิตาชิ
ดาต้า ซิสเต็มส์ เปิดเผยแนวโน้มเกี่ยวกับการพัฒนาในด้านต่างๆ
ของอุตสาหกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลในปี
2555โดยจะเปิดเผยถึงการคาดการณ์และมุมมองของเขาเกี่ยวกับแนวโน้มสำคัญในทุก
สิ้นปี และการคาดการณ์ของเขาในทุกๆ ปี
ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงอุตสาหกรรม
เนื่องจากมักจะมองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
ภายใต้การวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้
ภายใต้สภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความวุ่นวายทางการเมือง
และความไร้เสถียรภาพทางการเงินที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี
2554ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีกำลังเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนที่ท้าทายที่พวกเขา
ต้องจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบจัดเก็บข้อมูล เช่น
ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดของปี
2555และจากการสำรวจล่าสุดของบริษัท ไอดีซี
ยังพบด้วยว่าองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึกที่มีศักยภาพเหนือ
กว่าขีดความสามารถในระบบของตนเพื่อให้แน่ใจได้ว่าข้อมูลที่พวกเขามีอยู่นั้น
มีความสำคัญ สามารถนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที และเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์
ทั้งนี้ การคาดการณ์ของนายฮิว โยชิดะได้นำเสนอแนวทางในการจัดการปัญหาต่างๆ
เหล่านี้
โดยให้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีและกลยุทธ์ด้านระบบจัดเก็บข้อมูล
ที่จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีสามารถเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นโอกาสทาง
ธุรกิจได้
แนวโน้ม 10 อันดับแรกของระบบจัดเก็บข้อมูลในปี 2555..
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความวุ่นวายทางการเมือง และวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี
2554ได้ผลักดันให้บริษัทต่างๆ ต้องวางแผนรองรับสำหรับปี
2555เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและภาวะความไม่แน่นอนอย่างมาก
ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ในบางภาคส่วนของธุรกิจ ยังคงมีความแน่นอนบางอย่างอยู่
หนึ่งในนั้นก็คือความต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานระบบจัด
เก็บข้อมูลที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก และยังคงมีแนวโน้มที่จะ
ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไปที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย
สิ่งท้าทายสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในขณะนี้ก็คือการจัดการกับภาวะกดดัน
เหล่านี้ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด
ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก
และนั่นส่งผลให้การปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ
กลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
นอกจากจะต้องจัดการงบประมาณอย่างระมัดระวังแล้ว
พวกเขายังจะต้องสามารถทราบผลกระทบที่แท้จริงของระบบที่นำเข้ามาแทนที่ได้
อย่างแม่นยำด้วย เช่น เทคโนโลยีคลาวด์
เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ซึ่งการประเมินผลดังกล่าวถือเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่
นอนของวิกฤตเศรษฐกิจ
เพื่อให้คำแนะนำบางอย่าง นายฮิว โยชิดะ
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์
จึงได้นำเสนอมุมมองของเขาที่มีต่อแนวโน้ม
10อันดับแรกที่จะเกิดขึ้นกับระบบจัดเก็บข้อมูลในปี 2555ดังนี้
1. ความมีประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage efficiency) :
ความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลกทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีต้องทำให้ได้รับ
ผลตอบแทนมากขึ้นจากสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่
แทนที่จะต้องซื้อสินทรัพย์เข้ามาใหม่
โดยจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของระบบจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น เช่น
ระบบจัดเก็บข้อมูลเสมือนจริง (storage virtualization)
การจัดสรรพื้นที่แบบจำกัดตามการใช้งานจริง (dynamic or thin provisioning)
การจัดเก็บข้อมูลตามระดับชั้นความสำคัญข้อมูลตามใช้งานจริง(dynamic
tiering) และการจัดเก็บข้อมูลถาวร (archiving)
2. การผสานรวมระบบเข้าด้วยกัน (Consolidation to convergence) :
การรวมระบบเข้าด้วยกันจะนำไปสู่แนวทางการผสานรวมที่ครอบคลุม
โดยจะเห็นได้ว่าในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา
ตลาดไอทีได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรวมระบบและคุณสมบัติที่มีประโยชน์
ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับการผสานรวมเซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล
เครือข่าย และ แอพลิเคชั่น เข้าไว้ด้วยกันโดยอาศัย
แอพลิเคชั่นโปรแกรมมิ่งอินเทอร์เฟซ (Application programming interfaces
(APIs)) ซึ่งจะช่วยกำจัดภาระงาน (workload) ให้กับระบบจัดเก็บข้อมูล
ทำให้เซิร์ฟเวอร์และหน่วยความจำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ซอฟต์แวร์การจัดระเบียบจะช่วยในการผสานรวมการจัดการและทำให้การจัด
สรรทรัพยากรเป็นไปโดยอัตโนมัติ
ตลอดจนสามารถจัดทำรายงานระหว่างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย
ระบบจัดเก็บข้อมูล รวมถึงเซิร์ฟเวอร์แบบเฉพาะที่ แบบระยะไกล
และแบบคลาวด์ได้
3. การบริหารระบบที่เข้าถึงได้อย่างชัดเจน (Transparency) :
แอพพลิเคชั่นและโครงสร้างพื้นฐานจะสามารถเข้าถึงระหว่างกันได้ชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้การผสานรวมผ่านอินเทอร์เฟซแบบเปิด เช่น API,
ไคลเอ็นต์/ตัวให้บริการ และปลั๊กอินเป็นเรื่องง่าย โดยบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า
ซิสเต็มส์ ได้นำเสนอ Hitachi Command Director ที่ให้มุมมองระดับบริการ
การใช้ประโยชน์
และสภาพของโครงสร้างพื้นฐานระบบจัดเก็บข้อมูลที่อยู่เบื้องหลังระบบจัดเก็บ
ข้อมูลเสมือนที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ได้อย่างชัดเจน
4. ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์ประมวลผล (Storage computerization) :
ระบบจัดเก็บข้อมูลจะต้องเปลี่ยนเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์ประมวลในตัว
เอง เนื่องจากมีการเพิ่มฟังก์ชันมากมายให้กับระบบดังกล่าว
สถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลดั้งเดิมที่มีคอนโทรลเลอร์สำหรับวัตถุประสงค์
ทั่วไปซึ่งรองรับฟังก์ชันใหม่ทั้งหมดนี้พร้อมกับรองรับภาระงาน
อินพุท/เอาท์พุท (I/O workload) แบบปกติจะไม่สามารถปรับขยายได้อีก ดังนั้น
สถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่มีแหล่งรวมของตัวประมวลผลในตัวเอง
ที่ถูกแยกออกมาจะเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อนำมาใช้ในการจัดการฟังก์ชั่น
เพิ่มเติมดังกล่าว
5. ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) : ในปี
2555ข้อมูลจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็น “ข้อมูลขนาดมหึมา”
(Big Data) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลของข้อมูลแบบ Unstructured
Data และ แอพลิเคชั่นบนชุดอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ
ซึ่งหากเราสามารถจัดการและเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก็จะก่อให้เกิดโอกาสอย่างมากมายสำหรับการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ
ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม
การนำชุดข้อมูลขนาดใหญ่ไปใช้ในการทำซ้ำ สำรองข้อมูล
และการทำเหมืองข้อมูลผ่านทางเครื่องมือแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถบรรลุผลตาม
ที่ต้องการได้
จะเห็นได้ว่าข้อมูลขนาดใหญ่สามารถนำไปสู่สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ได้
ดังนั้น ในปี
2555จะมีการนำแพลตฟอร์มเกี่ยวกับเนื้อหาเข้ามาใช้ในการจัดเตรียมการ
วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น
6. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy efficiency) : พลังงาน
ระบบทำความเย็น และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ
หรือร่องรอยคาร์บอน (carbon footprint)
จะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อความต้องการด้านพลังงานเพิ่ม
สูงขึ้น และประเทศต่างๆ เริ่มบังคับใช้ภาษีคาร์บอน
โดยฝ่ายไอทีจะต้องเข้ามามีส่วนในการรับภาระด้านพลังงานนี้ด้วย
7. บริการกำหนดรูปแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Ergonomic services) :
ช่องว่างระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการดำเนินการของฝ่ายไอทีจะกลายเป็นสิ่ง
สำคัญเมื่อองค์กรธุรกิจต้องการผลักดันให้ฝ่ายไอทีปรับใช้เทคโนโลยีให้รวด
เร็วยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมได้เพิ่ม
ขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดความต้องการในด้านบริการเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เพื่อช่วยลดภาระงานที่พนักงานไอทีต้องดำเนินการและช่วยเร่งการนำเทคโนโลยี
ใหม่เข้ามาใช้งาน
8. การปรับขยายระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage scaling) :
องค์กรจะต้องการระบบเซิร์ฟเวอร์และเดสก์ท็อปเสมือนจริงเพิ่มขึ้นเพื่อปรับ
ขยายระบบจัดเก็บข้อมูลไมให้เกิดการกระจัดกระจายเนื่องจากความต้องการ
เซิร์ฟเวอร์ที่เพิ่มขึ้น
ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบโมดูลจะต้องได้รับการแทนที่ด้วยระบบจัดเก็บข้อมูล
องค์กรที่สามารถตอบสนองภารกิจสำคัญของเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริงได้
ขณะเดียวกันสถาปัตยกรรมระบบจัดเก็บข้อมูลแบบสเกล-เอาท์ (scale-out)
จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการปรับขยายแบบ สเกล-อัพ (scale-up)
ของระบบเซิร์ฟเวอร์และเดสก์ท็อปเสมือนจริงได้
9. การย้ายข้อมูลแบบเสมือน (Virtualized migration) :
การย้ายข้อมูลของอุปกรณ์แบบต้องหยุดระบบจะถูกแทนที่ด้วยความสามารถใหม่ของ
ระบบเสมือนจริงที่การย้ายข้อมูลไม่จำเป็นต้องรีบูตระบบใหม่
10. การปรับใช้ระบบคลาวด์ (Cloud acquisition) :
การปรับใช้ระบบคลาวด์ ทั้งในแบบบริการตนเอง แบบจ่ายเท่าที่ใช้งาน
และตามความต้องการ
ได้เริ่มเข้ามาแทนที่วงจรการปรับใช้ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่มีระยะเวลาระหว่าง 3
– 5 ปี
เนื่องจากการผสานรวมเริ่มที่จะสร้างแหล่งรวมทรัพยากรแบบผสมผสานขึ้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น