วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

เอสซีจี เผยผลประกอบการ 54 เชื่อมั่นไทยเป็นฐานลงทุนที่ดี จัดเต็มงบวิจัย มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน


เอสซีจีเผยผลประกอบการปี 2554 รายได้จาการขายเพิ่มขึ้น แต่กำไรลดลงจากปีก่อน เนื่องจากปีที่แล้วมีกำไรจากการขายเงินลงทุน ประกอบกับเป็นวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมี และได้รับผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ เผยสินค้ามูลค่าเพิ่ม (High Value Added -HVA) โตต่อเนื่อง คิดเป็น 32% ของยอดขายรวมปีที่ผ่านมา ปีนี้ทุ่มงบ R&D 2,000 ล้านบาท ผลักดันสินค้า HVA เดินหน้าขยายลงทุนในภูมิภาค ตามกลยุทธ์ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ซื้อหุ้น TPC เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ ย้ำเชื่อมั่นประเทศไทย เชื่อวิกฤตน้ำท่วมส่งผลระยะสั้น มั่นใจแผนฟื้นฟูและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเติบโตต่อไป

     นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวม ก่อนตรวจสอบประจำปี 2554 ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยและบริษัทย่อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 368,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจปรับตัวขึ้นตามกลไกตลาด และมีกำไร 27,281 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27เนื่องจากในปี 2553 มีกำไรจากการขายเงินลงทุน PTTCH 9,963 ล้านบาท
     สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2554 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 87,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เนื่องจากต้นทุนในตลาดโลกผลักดันราคาผลิตภัณฑ์ในทุกธุรกิจให้ปรับตัวดีขึ้น และมีกำไร 3,201 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 81 เนื่องจากในไตรมาสที่ 4 ปี 2553 มีกำไรจากการขายเงินลงทุน PTTCH 9,963 ล้านบาท ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมทำให้ความต้องการสินค้าลดลงและมีค่าใช้จ่ายในการ ขนส่งสูงขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรในบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลงอย่างมากจากความไม่ แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก
     เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เอสซีจีมีรายได้จากการขายลดลงร้อยละ 7 กำไรลดลงร้อยละ 57 เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์มีมาร์จิ้นลดลงทั้งในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม รวมทั้งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม และราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
     สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือประเทศไทย ในปี 2554 มีรายได้จากการขาย 23,670 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ล่าสุดได้ขยายยการลงทุนในประเทศเวียดนาม โดยเข้าซื้อหุ้นโรงงานบดปูนซีเมนต์เทาและปูนซีเมนต์ขาวทางตอนได้ของเวียนาม และได้จัดตั้งโรงงานคอนกรีตผสมเสร้จเพิ่มอีก 2 แห่ง ในเมืองโฮจิมินส์ซิตี้ ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 46,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 12.50 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
     สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2554 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
     เอสซีจีเคมิคอลส์ : ในปี 2554 เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 192,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นและราคาขายปรับตัวดีขึ้น มีกำไร 11,190 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 51 จากปีก่อน เนื่องจากปีก่อนมีกำไรจากการขายเงินลงทุน PTTCH
     เอสซีจี เปเปอร์ : ในปี 2554 เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขาย 54,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อน เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยของกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น มีกำไร 3,331 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากปีก่อน
     เอสซีจี ซิเมนต์ : ในปี 2554 เอสซีจี ซิเมนต์ มีรายได้จากการขาย 54,249 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นทั้งในตลาดในประเทศและส่งออก มีกำไร 7,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการลดต้นทุนและการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม
     นายกานต์ เปิดเผยต่อไปว่า “วิกฤตน้ำท่วมที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพียงระยะสั้น ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการลงทุน และเป็นฐานการผลิตที่ดีของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เพราะเรามีปัจจัยพื้นฐานที่ดี อาทิ แรงงานที่มีฝีมือ การลงทุนด้าน R&D อย่างต่อเนื่องของภาคธุรกิจ การสนับสนุนซึ่งกันละกันของกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งในภูมิภาค เชื่อว่าจากนี้ไปทุกภาคส่วนจะร่วมกันพัฒนาให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคง ยิ่งขึ้น และเพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่นประเทศไทย เอสซีจีได้จัดทำแคมเปญสร้างความเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทยในระดับภูมิภาค อาเซียนต่อกลุ่มนักลงทุน และธุรกิจต่างชาติว่าประเทศไทยมีอนาคตที่สดใส นอกจากนี้ ยังได้ร่วมงานบีโอไอแฟร์ เพื่อร่วมแสดงศักยภาพของอุตสหากรรมไทย โดยเอสซีจี พาวิลเลียน ซึ่งได้รับรางวัลพาวิลเลียนยอดเยี่ยมในงานบีโอไอแฟร์ ได้นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากนักลงทุน ต่างชาติเพิ่มมากขึ้น”
     “สำหรับกลยุทธ์การเติบโตสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนของเอสซีจี ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น (HVA) และการสร้างแบรนด์ ในปีที่ผ่านมา เอสซีจีใช้งบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ถึง 1,111 ล้านบาท ส่งผลให้สินค้าในกลุ่ม HVA มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 32 ของยอดขายรวมปี 2554 สำหรับปีนี้เอสซีจีจะยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้า HVA ตามนโยบายที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาปาระมาณ 2,000 ล้านบาท”
     “ล่าสุด ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ได้อนุมัติให้เอสซีจีให้เอสซีจี เคมิคอลส์ ซื้อหุ้นบริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) (TPC) เพิ่มเติมจากบริษัททุนลดาวัลย์ จำกัด (CPBE)และจากผุ้ถือหุ้นอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.47 ของหุ้นชำระแล้วทั้งหมดของ TPC ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 8,000ล้านบาท หลักจากการซื้อหุ้นในครั้งนี้เอสซีจีจะมีหุ้นใน TPC เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 76.11 จากเดิมร้อยละ 45.64 โดยจะดำเนินการเรื่องคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Mandatory Tender Offer) ต่อไป ทั้งนี้ การซื้อหุ้นดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจให้ กับเอสซีจี ช่วยลดความผันผวนของรายได้ เพิ่มโอกาสในการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม HVA ทั้งยังเพิ่ม Synergy ในการบริหารจัดการธุรกิจ ตามแนวทางการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ (Operation Excellence) ด้วย” นายกานต์ กล่าวเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น